อาหารและการให้อาหาร โคนมเป็นสัตว์สี่กระเพาะหรือที่เรียกว่า สัตว์เคี้ยวเอื้อง ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ประเภทนี้จะมี 2 ชนิดคือ อาหารหยาบ เช่น หญ้า ถั่ว อาหารสัตว์ ฟางข้าว และอาหารข้น เช่น อาหารผสม ในการให้อาหารแก่ โคนม อาหารทั้ง 2 ชนิด จะมีความสำคัญเท่า ๆ กัน และต้องมีความสัมพันธ์กัน เพื่อที่จะทำให้โคนม สามารถให้น้ำนมได้สูงสุดตามความสามารถของโคแต่ละตัวที่จะแสดงออก โคนมในปัจจุบันได้รับการ ปรับปรุงพันธุ์จนมีความสามารถในการให้น้ำนมได้สูงกว่าแต่ก่อน ลำพังการให้อาหารหยาบเพียงอย่าง เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารหยาบในเขตร้อนอย่างประเทศไทย ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารต่ำ มีโภชนะ ไม่เพียงพอแก่ความต้องการของแม่โคนม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องการให้อาหารข้นเสริมจะเห็นได้ว่าอาหาร ข้นจะเข้าไปมีบทบาทต่อการผลิตน้ำนมมากขึ้น นอกจากนั้นบทบาทที่สำคัญอีกอย่างก็คือ จะเป็นตัวกำหนด ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการเลี้ยงโคนม ทั้งนี้เพราะค่าใช้จ่ายในด้านอาหารจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดคือ ประมาณร้อยละ 70 ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของประเทศกำลังประสบอยู่ นั่นคือต้นทุน การผลิตน้ำนมดิบที่สูงขึ้น ฉะนั้นการให้อาหารแก่โคนมอย่างเหมาะสมนอกจากจะสามารถช่วยแม่โคนม สามารถให้น้ำนมได้สูงขึ้นแล้ว ยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามการให้อาหารข้น แก่โคนมก็มีข้อที่จะต้องพิจารณาอยู่มาก ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ยังขาด ความรู้เข้าใจในการใช้อาหารข้น ทั้งเรื่องเกี่ยวกับว่า อาหารข้นควรจะมีคุณภาพอย่างไรประกอบด้วย อะไรบ้าง และจะให้โคนมกินประมาณเท่าไร ซึ่งคำถามต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงจัดทำ เอกสารฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อให้เกษตรกรได้ทำความเข้าใจอย่างง่าย ๆ ในการให้อาหารแก่โคนม ก่อนที่จะกล่าวถึงในเรื่องของการให้อาหาร เกษตรกรควรที่จะทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ที่จะไปมีส่วน เกี่ยวข้องโดยตรง
- เพื่อการเจริญเติบโต กรณีโคยังเติบโตไม่ได้โตเต็มที่
- เพื่อการอุ้มท้อง ความต้องการโภชนะสำหรับการอุ้มท้องช่วง 6 เดือนแรกนั้นไม่มาก แต่ช่วง 3 เดือนก่อนคลอด ต้องการโภชนะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- เพื่อการสะสมไขมัน หรือเติบโตทดแทนน้ำหนักที่สูญหายไป ระหว่างการให้นมหรือช่วงพักรีดนม
- เพื่อการดำรงชีพ ความต้องการโภชนะเพื่อดำรงชีพมากหรือน้อยขึ้นกับขนาดของร่างกาย
- เพื่อการให้นม ความต้องการเพื่อการให้นมผันแปรตามปริมาณน้ำนมและส่วนประกอบของน้ำนม
ความต้องการสารอาหารของแม่โคนม
แม่โคนมแต่ละตัวมีความต้องการสารอาหารได้แก่ โปรตีน พลังงาน วิตามิน แร่ธาตุ ฯลฯ โดยมีวัตถุ ประสงค์เพื่อที่จะ (1) บำรุงร่างกาย (2) เจริญเติบโต (3) ผลิตน้ำนม (4) เพื่อการเจริญเติบโตของลูกใน ท้องแม่โคจะนำสารอาหารที่ให้กินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ตามลำดับทำให้แม่โคละตัวซึ่งมีน้ำหนักตัว ต่างกันและให้นมจำนวนไม่เท่ากัน มีความต้องการสารอาหารแตกต่างกันไปนอกจากนั้นในแม่โคตัวเดียวกัน ก็ยังมีความต้องการสารอาหารในแต่ละช่วงแตกต่างกันไปอีก ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ
ช่วงระยะการให้น้ำนม แม่โคนมที่อยู่ในระยะใกล้คลอดหรือหลังคลอดใหม่ ๆ แม่โคนมที่อยู่ระหว่าง การให้น้ำนมสูงสุด (2 เดือนแรกของการให้นม) การให้นมช่วงกลาง การให้นมในช่วงปลาย และช่วงหยุด การให้นม จะมีความต้องการสารอาหารในแต่ละระยะการให้นมที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะปริมาณน้ำนมที่ แม่โคผลิตได้ในแต่ละช่วงจะแตกต่างกัน
สภาพของร่างกาย โคนมที่สามารถให้น้ำนมได้เต็มที่ สุขภาพของแม่โคจะต้องพร้อม คือ ไม่ควรจะอ้วน หรือผอมจนเกินไป จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารที่มากขึ้น ทั้งนี้เพราะโคจะต้องใช้สารอาหาร ในการบำรุงร่างกาย และเจริญเติบโตก่อนจึงจะนำไปใช้ในการสร้างน้ำนม
เมื่อเกษตรกรได้รู้ถึงความต้องการสารอาหารของโคแล้ว ซึ่งในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงความต้องการสารอาหาร แต่ละชนิด เพราะอาจจะทำให้สับสน แต่อยากจะให้เกษตรกรได้ทราบถึงเหตุผลว่าทำไมจึงมีความจำเป็นที่ จะต้องให้อาหารต่างกันในโคแต่ละตัวหรือในโคตัวเดียวกันแต่ต่างระยะเวลา
ปริมาณการกินอาหารหยาบ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า โคนมเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง จึงจำเป็นต้องได้รับอาหารหยาบอย่างเพียงพอ ซึ่งในจุดนี้ เกษตรกรบางส่วนไม่ค่อยได้คำนึงถึงมากนัก อย่าคิดแต่เพียงว่าถ้าให้อาหารข้นมาก ๆ โคจะได้รับสาร อาหารมาก และจะทำให้ผลผลิตน้ำนมได้มาก ตรงกันข้ามในความเป็นจริงแล้วโคที่ได้รับอาหารข้นมากเกินไป กลับทำให้ผลผลิตน้ำนมลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากการที่โคได้รับอาหารหยาบน้อยเกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการ ผิดปกติในระบบการย่อยอาหาร คือ เกิดความเป็นกรดในกระเพาะผ้าขี้ริ้วมากจนโคไม่ยอมกินอาหาร ทั้งนี้ เพราะอาหารหยาบมีเยื่อใยสูงจะช่วยในการเคี้ยวเอื้อง ทำให้ต่อมน้ำลายของโคหลั่งน้ำลายได้มากขึ้นและ น้ำลายนี้เองที่มีฤทธิ์เป็นด่างจะช่วยปรับสภาพภายในกระเพาะผ้าขี้ริ้วให้เหมาะสมแก่การทำงานของจุลินทรีย์ เพื่อสังเคราะห์โปรตีน และพลังงานแก่โคต่อไป เกษตรกรจึงจำเป็นที่จะต้องมีอาหารหยาบเพียงพอให้แก่โคซึ่ง ระดับของอาหารหยาบ เมื่อคิดเป็นน้ำหนักแห้งที่แม่โคควรจะได้รับต่อวันไม่ควรต่ำกว่า 1.4% ของ นน. ตัว ตัวอย่างเช่น แม่โคนมที่มีน้ำหนักประมาณ 400 กก. ควรจะได้รับอาหารหยาบแห้งตามที่ได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้ คือ แม่โคนมที่มีน้ำหนักตัว 100 กก. ต้องการอาหารหยาบ = 1.4 กก. แม่โคนมที่มีน้ำหนักตัว 400 กก. ต้องการ อาหารหยาบ =(1.4 x 400)/100 กก.
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอาหารหยาบกับอาหารข้นที่จะใช้
คุณภาพของอาหารหยาบและปริมาณการกินอาหารหยาบ จะเป็นตัวกำหนดสารอาหารที่แม่โคจะได้รับ เช่น แม่โคกินอาหารหยาบคุณภาพดีและกินในปริมาณที่มาก ก็จะได้รับสารอาหารมากกว่าแม่โคที่กิน อาหารหยาบที่มีคุณภาพต่ำและกินได้น้อย ดังนั้นจึงทำให้อาหารข้นที่จะใช้เสริมนั้นแตกต่างกัน คือ อาหารข้นจะต้องมีสารอาหารหรือความเข้มข้นแตกต่างกัน มิใช่ให้ในปริมาณที่แตกต่างกัน มิฉะนั้นแล้วจะ มีผลต่อการกินอาหารหยาบตามมา เพราะกระเพาะโคมีขนาดคงที่ ความสัมพันธ์ของอาหารหยาบและ อาหารข้นพอจะสรุปได้ดังนี้คือ
คุณภาพของอาหารหยาบที่ใช้
อาหารหยาบคุณภาพ ดี ระดับโปรตีนในอาหารข้น (% ในสูตรอาหาร) 12-16 หรือประมาณ 14
อาหารหยาบคุณภาพ ปานกลาง ระดับโปรตีนในอาหารข้น (% ในสูตรอาหาร) 16-20 หรือประมาณ 18
อาหารหยาบคุณภาพ ต่ำ ระดับโปรตีนในอาหารข้น (% ในสูตรอาหาร) 20-24 หรือประมาณ 22
ในความเป็นจริงแล้ว คุณภาพของอาหารข้นนอกจากจะคำนึงถึงโปรตีนในอาหารแล้ว ยังต้องคำนึงถึง พลังงาน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างมากในแม่โคที่กำลังให้นม อย่างไรก็ตามคำแนะนำอย่างง่าย ๆ ก็คือถ้าแม่โคของท่านมีความสามารถในการให้นมสูง แต่ท่านจำเป็นต้องให้อาหารหยาบคุณภาพต่ำ เช่น ฟางข้าวเลี้ยงหรือต้องเดินแทะเล็มในทุ่งหญ้าธรรมชาติเป็นระยะทางไกล ๆ ท่านควรจะเสริมอาหารพลังงาน อาทิเช่น มันเส้น หรือกากน้ำ (Molasses) นอกเหนือจากอาหารหยาบและอาหารข้นที่กล่าวถึงแล้ว แต่ท่าน ก็ไม่ควรจะหวังถึงการให้นมได้สูงสุด คงจะเป็นเพียงช่วยไม่ให้การให้นมของแม่โคลดลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น
การผสมสูตรอาหารข้นและการเลือกใช้วัตถุดิบผสมอาหารข้น
เกษตรกรสามารถเลือกใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ได้หลายอย่าง เพื่อนำมาผสมเป็นอาหารข้น แต่สิ่งที่เกษตรกร ควรระวังในการเลือกใช้วัตถุดิบต่าง ๆ คือ อย่าคิดถึงราคาต่อกิโลกรัมเท่านั้น เพราะวัตถุดิบบางชนิดมีราคา ต่อกิโลกรัมต่ำกว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบสารอาหารที่มีอยู่ เช่น โปรตีน อาจจะทำให้ราคาต่อสารอาหารนั้นมี ราคาสูงกว่าก็ได้ อย่างไรก็ตามในเรื่องการเลือกใช้วัตถุมีรายละเอียดอยู่มาก ในที่นี้จึงได้จัดทำสูตรอาหาร ข้นขึ้นมาเพื่อให้เกษตรกรได้นำไปใช้ โดยพยายามเลือกใช้วัตถุดิบและราคาจำหน่ายตามที่มีจำหน่ายอยู่ ทั่ว ๆ ไป ในแหล่งที่มีการเลี้ยงโคนม
ปริมาณการกินอาหารของแม่โค
แม่โคนมแม้จะต้องการสารอาหารมากเพียงไร แต่ปริมาณอาหารที่แม่โคกินได้นั้นมีอย่างจำกัด ซึ่งอาจจะ เนื่องมาจากความจุของกระเพาะโคเองหรืออาจจะเนื่องมาจากลักษณะและคุณภาพของอาหารที่ให้แก่โค ฉะนั้นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมควรจะทราบด้วยว่า โคนมของท่านแต่ละตัวจะสามารถกินอาหารได้วันละเท่าใด เพื่อที่จะทำให้ทราบว่า สารอาหารที่แม่โคได้รับนั้นเพียงพอหรือไม่กับการให้น้ำนมของแม่โค การผลิตน้ำนม ให้ได้มาก ๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารที่ได้รับเพียงอย่างเดียว แต่คุณภาพของอาหารมีความสำคัญ ยิ่งกว่าคาดคะเนปริมาณการกินอาหารของโค ซึ่งจะมีความสัมพันธุ์กับปัจจัยหลัก 2 ปัจจัย คือ น้ำหนักตัวของ แม่โคและปริมาณน้ำนมที่แม่โคนั้นผลิตได้ ซึ่งในเรื่องของน้ำหนักตัวของแม่โค เกษตรกรมักจะไม่ทราบเพราะ ไม่มีเครื่องชั่งสัตว์ในฟาร์ม แต่ก็พอจะประมาณได้ เพราะโคลูกผสมขาว-ดำ ในเมืองไทยจะมีน้ำหนักโดย ประมาณนี้เป็นตัวคำนวณปริมาณอาหารต่อไปได้ และเมื่อพิจารณาร่วมกับปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้ก็พอจะ ประมาณการกินอาหารของแม่โคได้ดังนี้ (ดังตารางที่ 1)
คุณภาพของอาหารหยาบ
เมื่อทราบถึงปริมาณของอาหารหยาบที่จำเป็นที่แม่โคจะต้องได้รับต่อวัน เพื่อที่จะทำให้ระบบการย่อย อาหารเป็นไปอย่างปกติแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงต่อมาก็คือ อาหารหยาบที่ให้แก่แม่โค มีคุณภาพเป็นอย่างไร โคจะใช้ประโยชน์ได้มากน้อยขนาดไหน ทั้งนี้เพราะคุณภาพของอาหารหยาบจะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของ อาหารข้นด้วย คือ ถ้าอาหารหยาบที่ให้แก่โคมีคุณภาพต่ำ อาหารข้นที่จะใช้เสริมจำเป็นจะต้องมีคุณค่าอาหาร สูงซึ่งผลการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหาร ทางกลุ่มงานวิเคราะห์อาหารสัตว์กองอาหารสัตว์ได้จัดทำสรุปไว้แแล้ว แต่ในเอกสารฉบับนี้จะขอนำเอาผลการวิเคราะห์ของอาหารหยาบ ที่มีใช้ทั่ว ๆ ไปมาเสนอเท่านั้น (ดังในตารางที่ 2)
ปริมาณอาหารข้นที่ให้แก่แม่โคนม
เมื่อทราบว่าอาหารข้นควรจะมีความเข้มข้นของสารอาหารเท่าใดแล้ว ความจำเป็นต่อมาก็มาพิจาณาถึงว่า จะให้แก่แม่โคกินในปริมาณเท่าไรเนื่องจากแมโคแต่ละตัวมีการให้น้ำนมได้ไม่เท่ากัน และในแต่ละช่วงเวลา ก็จะมีอาหารหยาบที่มีคุณภาพต่าง ๆ กันด้วย ในที่นี้จึงได้สรุปปริมาณอาหารข้นที่ควรจะให้แก่แม่โคแต่ละตัว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำนมที่แม่โคผลิตได้และอาหารหยาบที่ใช้เลี้ยง (ดังตารางที่ 4)
กรณีใช้อาหารหยาบคุณภาพดีแก่แม่โคนม ถ้าแม่โคนมสามารถให้นมได้ 14 กก./วัน อาหารข้นที่ให้ควรจะ มีโปรตีนในสูตรอาหาร = 12% และให้ในปริมาณ 5.5 กก./ตัว/วัน แต่ถ้าแม่โคสามารถให้นมได้มากกว่านี้ เช่น ให้นมได้ 18 กก./วัน การใช้อาหารข้นที่มีโปรตีน 12% จะน้อยเกินไปเพราะจะทำให้โคต้องกินอาหารข้น ในปริมาณมาก จึงจะได้รับโภชนะเพียงพอจึงจำเป็นต้องใช้อาหารข้นที่มีอาหารความเข้มข้นของสารอาหาร สูงขึ้น คือมีโปรตีนประมาณ 14% และให้กินในปริมาณ 7.0 กก./ตัว/วัน จึงจะไม่มีผลกระทบต่อการกิน อาหารหยาบ
กรณีการใช้อาหารหยาบคุณภาพปานกลาง ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกับอาหารหยาบ คุณภาพด แตกต่างกันที่ว่าระดับโปรตีนในอาหารข้นจะสูงกว่า กล่าวคือ อาหารข้นที่ใช้ร่วมกับอาหารหยาบคุณภาพปานกลาง อาทิเช่น หญ้าสด เปลือกและไหมข้าวโพดฝักอ่อน ควรจะมีโปรตีนในสูตรอาหารข้น ประมาณ 14-16% ส่วน ปริมาณที่ให้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณการให้นมของแม่โค ดังในตาราง
กรณีการใช้อาหารหยาบคุณภาพต่ำนั้น อาหารข้นที่จะให้แก่แม่โคมีความจำเป็นที่จะต้องมีความเข้มข้นสูงขึ้น มากกว่า เพื่อที่จะทำให้แม่โคได้รับสารอาหารเพียงพอแก่ความต้องการในการให้น้ำนม อาหารข้นที่ใช้ควรมี ระดับโปรตีน ประมาณ 22% ในกรณีที่แม่โคมีการให้นม 22 กก./วัน ควรจะให้อาหารข้นประมาณ 9.5 กก./ ตัว/วัน แต่ถ้าแม่โคมีการให้นมมากกว่า 22 กก./วัน ขึ้นไปควรจะให้อาหารข้นแก่แม่โคได้อย่างเต็มที่หลังจาก ที่แม่โคได้รับอาหารหยาบเพียงพอตามคำแนะนำในตอนต้น ๆ คือ 1.4% ของน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุด ที่แม่โคต้องการ
การทำบันทึกเกี่ยวกับโคนม
เจ้าของสัตว์ควรจะเป็นผู้ที่ทำบันทึกและเก็บไว้เอง โดยอาจเริ่มต้นจากวันที่สัตว์เกิด น้ำหนักและสัดส่วน แรกเกิดวันผสม วันคลอดรวมถึงการสั่งน้ำหนักโคทุกครั้ง เช่น วันหย่านมอายุ 1 ปี หรือเกณฑ์ผสมพันธุ์และ หรือระยะเวลาการให้นม จำนวนวัคซีนหรือการรักษาโรค (ถ้ามี) ด้วย ผู้ที่จะจดบันทึกควรจุทำความเข้าใจ วิธีทำให้ถูกต้อง และทำการลงบันทึกตลอดจนเก็บรักษาไว้ด้วยตนเอง ทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ การชั่ง น้ำหนักโคหรือการชั่งน้ำนมควรใช้เครื่องชั่งที่เที่ยงตรง จดน้ำหนักลงบันทึกไว้ถ้าทำได้ในการเก็บตัวอย่าง โดยเฉพาะถูกระบุหมายเลขภาชนะ หรือชื่อโคให้แน่นอนและจัดส่งไปให้ตรวจสอบเปอร์เซนต์ไขมัน ในห้อง ปฏิบัติการนมต่อมาผลก็จะถูกส่งกลับไปยังเจ้าของโค เมื่อได้รับผลก็ต้องลงบันทึกพร้อมกับคำนวณหา จำนวนนมไขมัน 4% หรืออื่น ๆ ที่ควรจะจดลงในบันทึกต่อไป แต่ในกรณีที่ไม่สามารถจะตรวจไขมันได้ การจดบันทึกการให้นมแต่ละครั้งของแม่โคเป็นวัน-เดือนอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะการให้นมเก็บไว้ได้ซึ่ง ยังดีกว่าไม่ทำการจดบันทึกอะไรเลย
การให้อาหารโคนมโดยใช้คะแนนร่างกาย
ตามหลักการ ผู้เลี้ยงควรจะทำการประเมินสภาพร่างกายของโคนมเพศเมียแต่ละตัวทุก ๆ 2 เดือน โดยเริ่มประเมินตั้งแต่หลังจากหย่านมเป็นต้นไป ซึ่งในทางปฏิบัติจริงคงไม่สะดวกที่จะทำการประเมินสภาพร่างกายทุก ๆ 2 เดือน ดังนั้นเพื่อให้ลดความถี่และเพิ่มความสะดวกในการประเมินสภาพร่างกาย จึงควรประเมินในระยะเวลาดังต่อไปนี้
ในกรณีแม่โคนม
ผู้เลี้ยงควรจะให้แม่โคได้รับอาหารข้นมากพอที่จะก่อให้เกิดการสะสมพลังงานในช่วงท้ายของรอบการให้น้ำนม และแม่โคในระยะพักการรีดนมควรมีคะแนนร่างกาย 3.5 ในระยะพักการรีดนมนี้ ผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารเพื่อให้แม่โคสามารถรักษาระดับคะแนนร่างกาย 3.5 จนกระทั่งคลอด ไม่ควรให้แม่โคมีคะแนนร่างกายมากหรือน้อยกว่านี้ แม่โคที่มีคะแนนร่างกายมากกว่า 4.0 ในระยะพักการรีดนมนั้น จะมีโอกาสก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับการใช้สารอาหารในร่างกายผิดปกติ เช่น โรคไขมัน โรคคีโตซีส ฯลฯ ดังนั้นผู้เลี้ยงควรจะให้อาหารที่มีพลังงานเพียงพอสำหรับรักษาสภาพคะแนนร่างกาย 3.5 ก็พอแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะว่าในช่วงท้าย ๆ ของรอบการให้น้ำนมและระยะพักการรีดนม แม่โคมีความสามารถในการสะสมพลังงานส่วนเกินมากกว่าที่จะนำพลังงานส่วนเกิน ดังกล่าวไปสร้างเป็นน้ำนม ในทางตรงกันข้ามถ้าในระยะพักการรีดนมจนกระทั่งคลอด แม่โคมีคะแนนร่างกายน้อยกว่า 3 จะมีผลทำให้ปริมาณน้ำนมของแม่โคที่จะให้ต่อไปได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นและก่อให้เกิดปัญหาการไม่เป็นสัดและหรือการผสมไม่ติดตามมา ทั้งนี้เป็นเพราะแม่โคมีพลังงานสะสมไม่เพียงพอต่อขบวนการสร้างน้ำนมนั่นเอง อย่างไรก็ตามในช่วง 15 วันก่อนคลอด แม่โคควรจะต้องได้รับอาหารทั้งอาหารข้นและอาหารหยาบ ชนิดเดียวกันกับอาหารแม่โคหลังคลอด โดยผู้เลี้ยงจะต้องให้อาหารข้นแม่โคเพิ่มขึ้นวันละ 0.5 กิโลกรัม/ตัว จนกระทั่งแม่โคได้รับอาหารข้นมากที่สุดไม่เกิน 4 กิโลกรัม/ตัว/วัน จนกระทั่งวันคลอด
ทั้งนี้เพื่อให้จุลินทรีย์ในกระเพาะผ้าขี้ริ้ว ได้มีโอกาสปรับตัวเตรียมรับสภาพที่แม่โคจะต้องได้รับอาหารข้นในปริมาณมาก ๆ ในช่วงหลังคลอด
1.2 ขณะคลอด
ในขณะคลอด แม่โคมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ คือ มีคะแนน ร่างกาย 3.5 ทั้งนี้เพื่อให้แม่โคในระยะหลังคลอดแสดงความสามารถในการผลิตน้ำนมได้มากที่สุด ตามความสามารถทางพันธุกรรม ไขมันแต่ละ 1 กิโลกรัมที่สะสมในร่างกายของแม่โค สามารถที่ จะถูกเป็นพลังงานในการสร้างน้ำนมได้ 7 กก. อย่างไรก็ตามถ้าแม่โคมีสภาพร่างกายที่อ้วนมากเกินไป คือมีคะแนนร่างกายมากกว่า 4.0 จะมีผลทำให้แม่โคมีปัญหาในการคลอดยาก การใช้ประโยชน์จากสารอาหารในร่างกายผิดปกติ และง่ายต่อการเกิดโรคติดเชื้อต่าง ๆ นอกจากนั้นยังจะทำให้ ความอยากกินอาหารลดลง ซึ่งทำให้แม่โคมีความจำเป็นที่จะต้องสลายไขมันที่สะสมในร่างกายมาสร้างเป็นน้ำนม เป็นผลให้แม่โคน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วและผอมโทรม ในทางตรงกันข้าม ถ้าแม่โคมีคะแนนร่างกายน้อยกว่า 3.0 ในขณะคลอด จะมีผลทำให้แม่โคให้น้ำนมน้อยกว่าความสามารถจริง ๆ ที่แม่โคจะผลิตได้ ดังนั้นในช่วงหลังคลอดจะต้องเอาใจใส่ให้อาหารที่มีคุณภาพ และให้แม่โคได้กินอาหารได้มากที่สุด เพื่อให้แม่โคนำอาหารที่กินได้ไปสร้างเป็นน้ำนมและลดอัตราการสลายอาหารที่สะสมในร่างกายของแม่โคมาสร้างเป็นน้ำนมทำให้แม่โคมีสภาพร่างกายเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ เป็นผลให้แม่โคให้น้ำนมได้สูงสุดและการพัฒนาระบบสืบพันธุ์เป็นไปอย่างปกติ คือ ผสมติดง่าย
1.3 ระยะสูงสุดของการให้น้ำนม
ในระหว่างหลังคลอด 7 วันเป็นต้นไป จนถึงระยะสูงสุดของการให้น้ำนมแม้จะมีการดูแลให้ อาหารเพื่อให้แม่โคกินอาหารได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าอาหารส่วนใหญ่ที่กินจะมุ่งไปสู่การสร้างน้ำนม แต่อาหารที่กินเข้าไปก็ยังไม่เพียงพอต่อความสามารถในการสร้างน้ำนมของเต้านม แม่โคจะต้องสลายอาหารที่สะสมในร่างกายออกมาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นผลทำให้น้ำหนักของแม่โคลดลงเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ย 400-600 กรัม/วัน ฉะนั้น สภาพร่างกายของแม่โคในช่วงระยะสูงสุดของการให้น้ำนม (5-7 สัปดาห์หลังคลอด) ควรมีคะแนนร่างกายร่างกายประมาณ 2.5 (สำหรับแม่โคที่ให้น้ำนม มากกว่า 25 กิโลกรัม ในระยะสูงสุดของรอบการให้น้ำนม อาจจะมีคะแนนร่างกายประมาณ 2.0) ในช่วงระยะสูงสุดของการให้น้ำนม จำเป็นจะต้องให้แม่โคได้รับอาหารที่มีพลังงานสูง (อาหารข้น) อย่างเต็มที่ เพื่อให้แม่โคนำไปสร้างน้ำนมได้มากที่สุด และเพื่อให้แม่โคเริ่มทำการ สะสมอาหารในร่างกาย แม่โค*ี่ผลผลิตน้ำนมในระดับปานกลาง (16-20 กิโลกรัม/วัน) ที่มี คะแนนร่างกายต่ำกว่า 2.5 แสดงว่าแม่โคตัวนั้น ได้รับอาหารไม่พอ จะต้องให้อาหารข้นแก่ แม่โคเพิ่มขึ้นอีก แต่ถ้าแม่โคที่ให้ผลผลิตน้ำนมปานกลางจะมีคะแนนร่างกายประมาณ 3.0 แสดงว่าแม่โคได้รับอาหารที่มีโปรตีนและแร่ธาตุอาหารหรือน้ำไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามใน ช่วงระยะสูงสุดของการให้น้ำนมนี้ ถ้าแม่โคมีคะแนนร่างกายต่ำกว่า 1.5 แล้ว แสดงว่าแม่โค ไดรับอาหารน้อยกว่าความต้องการ
1.4 ระยะกลาง-ปลาย ของรอบการให้น้ำนม (180-240 วันหลังคลอด)
ในระหว่างระยะกลาง-ปลายของการให้น้ำนม แม่โคควรที่จะได้รับอาหารในปริมาณที่มากพอ ที่จะก่อให้เกิดการสะสมอาหารในร่างกายเพิ่มขึ้น เนื่องจากอาหารที่แม่โคได้รับในช่วงนี้ปกติ จะลดความสำคัญที่จะนำไปสร้างน้ำนมลง แต่จะให้ความสำคัญในการนำไปเสริมสร้างร่างกาย และการตั้งท้อง จนกระทั่งได้คะแนนร่างกายที่สมบูรณ์ตามความต้องการ จนกระทั่งได้คะแนน ร่างกายที่สมบูรณ์ตามความต้องการเพื่อที่จะส่งผลให้รอบของการให้น้ำนมถัดไปดีขึ้น ในช่วง ตั้งแต่ 120 วันหลังคลอดเป็นต้นไป แม่โคควรจะได้รับอาหารในปริมาณที่มากพอเพื่อเริ่มสะสม อาหารในร่างกาย น้ำหนักของแม่โคควรเพิ่มโดยเฉลี่ยประมาณ 200-400 กรัม/วัน จนกระทั่งใน ช่วง 180-240 วัน แม่โคควรจะมีคะแนนร่างกายประมาณ 3.0 ถ้าแม่โคมีคะแนนร่างกายในช่วงนี้ มากกว่า 3.5 ควรจะลดอาหารพลังงาน (อาหารข้น) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาแม่โคอ้วนเกินไป แต่ถ้า แม่โคมีคะแนนร่างกายน้อยกว่า 3.0 แสดงว่าแม่โคได้รับอาหารที่มีพลังงานไม่พอ ควรจะเพิ่ม อาหารข้นให้แก่แม่โค ฉะนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าในระยะกลาง-ปลายของรอบการให้น้ำนม จะ เป็นระยะที่ปรับสภาพความสมบูรณ์ร่างกายของแม่โคได้ดีที่สุด เพราะเป็นระยะที่ลูกในท้องยัง ไม่ต้องการอาหารมาก อาหารที่กินเข้าไปจะนำไปสร้างเป็นน้ำนมและสะสมในร่างกายมากกว่า ดังนั้นในระยะนี้จึงง่ายต่อการปรับคะแนนร่างกาย
ในกรณีโคสาว
2.1 ระยะอายุ 6 เดือน
ในระยะตั้งแต่อายุ 6 เดือนจนถึงระยะก่อนการผสมพันธุ์ จัดว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญ ระยะหนึ่ง เพราะเป็นระยะที่เต้านมมีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่าการเจริญเติบโตทางร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อโคเพศเมียมีอายุ 9 เดือน อัตราการเจริญของเต้านมจะมากกว่าอัตราการเจริญทาง ร่างกายถึง 3.5 เท่า ซึ่งปกติแล้วโครุ่น-โคสาว จะมีอัตราการเจริญเติบโตดีมาก สุขภาพแข็งแรง ฉะนั้นการให้อาหารโคในระยะนี้จะต้องไม่ทำให้การเจริญเติบโตของโคหยุดชะงัก เพราะ นอกจากจะทำให้โคเป็นสาวช้าแล้ว ยังทำให้อัตราการเจริญของเต้านมลดน้อยลงด้วย ในทาง ตรงกันข้าม ไม่ควรให้อาหารโดยเฉพาะอาหารข้น จนโคอ้วนมากเกินไป เพราะจะมีผลเสียทำ ให้ที่เต้านมเกิดการสะสมเนื้อเยื่อไขมันเข้าไปสอดแทรกแทนกลุ่มของเนื้อเยื่อสร้างน้ำนม ทำให้ เต้านมพัฒนาเป็นเต้าน้ำมากกว่าเต้าเนื้อซึ่งจะส่งผลให้เจริญเป็นแม่โคที่ให้น้ำนมน้อยต่อไป อย่างไรก็ตามโครุ่นในระยะ 6 เดือนนี้ เกษตรกรจะต้องให้อาหารโค เพื่อให้มีคะแนนร่างกาย 2.5-3.0 ซึ่งจัดเป็นคะแนนร่างกาย*ี่โครุ่นมีสภาพสมบูรณ์ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 400-600 กรัม/วัน ถ้าหากโครุ่นมีคะแนนร่างกายต่ำกว่านี้ เกษตรกรผู้เลี้ยง โคนมจะต้องให้อาหารข้นเพิ่มขึ้น แต่ถ้าโครุ่นมีคะแนนร่างกายมากกว่านี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จะต้องให้อาหารข้นลดน้อยลง
2.2 ระยะผสมพันธุ์
ถ้าโคเพศเมียได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีตั้งแต่แรกคลอดจนถึงโคสาวแล้ว จะสามารถทำการผสมพันธุ์ ได้ในช่วงอายุ 16-18 เดือน ซึ่งมีน้ำหนักตัวประมาณ 300 กิโลกรัม ในระยะผสมพันธุ์ของโคสาวนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจะต้องให้อาหารข้นเพิ่มขึ้น เพื่อให้โคสาวแสดงอาการเป็นสัดรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามโคสาวในระยะผสมพันธุ์ควรจะมีคะแนนร่างกาย 3.0-3.5 ถ้าโคสาวตัวใดมีคะแนน ร่างกายต่ำกว่า 3.0 เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจะต้องให้อาหารข้นเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าโคสาวตัวใดมีคะแนนร่างกายสูงกว่า 3.5 ก็ควรลดอาหารข้นลง โคสาวในระยะนี้ที่ผอมหรืออ้วนมากเกินไปจะก่อให้เกิดปัญหาการผสมติดยาก หลังจากโคสาวผสมติดแล้วเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจะต้องเอาใจใส่ดูแลให้อาหารข้นเพื่อให้โคสาวท้องให้โคสาวท้องมีการเจริญเติบโตปกติ คือมีสภาพคะแนนร่างกาย 3.5 อย่าให้โคสาว*้องชะงักการเจริญเติบโตเพราะเป็นระยะที่มีการสร้างระบบท่อนนและเซลล์สร้างน้ำนม ของเต้านม หรือ อย่าให้อาหารข้นจนโคสาวอ้วนมากเกินไป เพราะจะทำให้มีปัญหาการคลอดยากตามมา เมื่อโคสาวท้องได้ 7 เดือนหรือก่อนคลอด 2 เดือน เกษตรกรผู้เลี้ยงจะต้องย้ายโคสาวท้องไปไว้รวมกับฝูงแม่โคพักการรีดนม (โคดราย) เพื่อที่จะได้เลี้ยงดูเช่นเดียวกับโคดรายต่อไป
2.3 ขณะคลอด
ในขณะคลอดโคสาวท้องควรจะมีร่างกายค่อนข้างสมบูรณ์ คือ มีคะแนนร่างกาย 3.0-4.0 ถ้าในขณะคลอดโคสาวมีคะแนนร่างกายเพียง 3.0 จะทำให้การให้นมในช่วงหลังคลอดได้ไม่มากเท่าที่ควรแต่โคสาวจะคลอดง่าย ถ้าในขณะคลอดโคสาวมีคะแนนร่างกาย 4.0 จะทำให้การให้นมในช่วงหลังคลอดดีมาก แต่อาจจะมีปัญหาการคลอดยาก ฉะนั้นเพื่อให้การให้นมของแม่โคสาวค่อนข้างดีและลดปัญหาการคลอดยาก จึงควรให้โคสาวท้องในขณะคลอดมีคะแนนร่างกาย 3.5
ละเอียดดีครับ
ดี
เนื้อหาตรงกับที่สอบเลยครับ ขอบคุณครับ
คะแนนร่างกายใช้เกณฑ์อะไรบ้างในการวัดครับ